รีวิว Edge of Tomorrow เอจ ออฟ ทูมอร์โรว์ ซูเปอร์นักรบดับทัพอสูร (2014)

Edge of Tomorrow เอจ ออฟ ทูมอร์โรว์ ซูเปอร์นักรบดับทัพอสูร (2014)

หนังประเทศ : สหรัฐอเมริกา

เรื่องย่อ

Edge of Tomorrow เล่าเรื่องราวของอนาคตอันใกล้ที่โลกถูกคุกคามจากสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่เรียกว่า “มิมิก” (Mimics) ซึ่งมีความสามารถในการต่อสู้ ความเร็ว และการวางแผนที่เหนือมนุษย์ กองทัพโลกจึงรวมพลังกันเพื่อต่อกรกับศัตรูที่ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อ “พันตรีวิลเลียม เคจ” (Tom Cruise) นายทหารประชาสัมพันธ์ที่ไม่เคยออกรบ ถูกส่งลงแนวหน้าโดยไม่สมัครใจ และเสียชีวิตในสนามรบทันทีหลังจากฆ่ามิมิกตัวหนึ่งได้

อย่างไรก็ตาม หลังจากตาย เขากลับ “ตื่นขึ้น” มาในวันก่อนศึกอีกครั้ง ราวกับว่าทุกอย่างย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ วนซ้ำไปเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่เขาตาย เคจจึงเริ่มเข้าใจว่าเขาติดอยู่ใน “ลูปเวลา” ซึ่งเกิดจากการได้รับเลือดของมิมิกสายพันธุ์อัลฟ่าเข้าสู่ร่างกายโดยบังเอิญ ความสามารถนี้ทำให้เขาสามารถรีเซ็ตเวลาได้ทุกครั้งที่ตาย

ระหว่างทาง เขาได้พบกับ “ริต้า วราทัสกี” (Emily Blunt) นักรบหญิงในตำนานที่ถูกขนานนามว่า “นางฟ้าแห่งเวอร์เดิง” ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในลูปเวลานี้มาก่อน เธอกลายเป็นทั้งครูฝึกและพันธมิตรในการช่วยให้เคจเรียนรู้การต่อสู้ ฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อหาวิธีทำลาย “โอเมก้า” สมองหลักของมิมิกที่ควบคุมการรีเซ็ตเวลา เพื่อยุติสงครามที่ทำให้มนุษย์ใกล้สูญพันธุ์

รีวิวเชิงลึก

Edge of Tomorrow เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายญี่ปุ่นเรื่อง All You Need Is Kill ผลงานของ Hiroshi Sakurazaka ที่ผสมผสานแนวคิดไซไฟ แอ็กชัน และจิตวิทยาเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของหนังคือ “การเล่าเรื่องแบบวนเวลา” ซึ่งมักจะถูกใช้ในแนวคอมเมดี้หรือดราม่า แต่หนังเรื่องนี้นำแนวคิดนั้นมาใช้กับสงครามไซไฟอย่างชาญฉลาด

ผู้กำกับ Doug Liman (จาก The Bourne Identity, Mr. & Mrs. Smith) สามารถสร้างบรรยากาศของสงครามที่สมจริง น่ากลัว และตื่นเต้นได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกฉากต่อสู้ถูกออกแบบมาอย่างละเอียด แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดซ้ำ แต่การตัดต่อและมุมกล้องที่แตกต่างกันในแต่ละครั้ง ทำให้คนดูไม่รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย

Tom Cruise แสดงบทบาทได้อย่างน่าทึ่งจากตัวละครที่เริ่มต้นด้วยความขี้ขลาดและเห็นแก่ตัว ค่อย ๆ พัฒนาไปเป็นทหารผู้กล้าและเต็มไปด้วยความเสียสละ เขาถ่ายทอดความเหน็ดเหนื่อยจากการตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างสมจริง และยังสื่อถึงความท้อแท้ของคนที่ต้องสูญเสียทุกสิ่งซ้ำไปซ้ำมาได้อย่างมีพลัง ส่วน Emily Blunt ในบทริต้า ก็เป็นนักรบหญิงที่ทั้งแข็งแกร่งและงดงามอย่างลงตัว ฉากฝึกซ้อมของเธอกับเคจเต็มไปด้วยพลังและเคมีที่เข้ากันได้อย่างยอดเยี่ยม

อีกจุดที่หนังทำได้ดีคือ “การจัดจังหวะการเล่าเรื่อง” ที่พาเราไต่ระดับความเข้มข้นจากความสับสนในช่วงแรก ไปสู่ความเข้าใจ และสุดท้ายคือความสิ้นหวังและการยอมรับชะตากรรม การนำเสนอของ Liman ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนอยู่ในลูปเดียวกับตัวละครจริง ๆ ทุกครั้งที่เขาตาย เราก็กลับไปเริ่มต้นใหม่พร้อมกัน

สปอยล์เต็ม

หลังจากฝึกฝนและตายซ้ำหลายร้อยครั้ง เคจและริต้าค้นพบว่ามิมิกมีศูนย์บัญชาการหลักที่ซ่อนอยู่ใต้พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ในกรุงปารีส แต่ก่อนที่พวกเขาจะไปถึง เคจสูญเสียพลังการรีเซ็ตเวลาเพราะได้รับเลือดใหม่ เขาจึงมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในการทำลายโอเมก้า

ทั้งสองบุกเข้าไปในฐานของมิมิกกลางกรุงปารีสอย่างไม่กลัวตาย ริต้าเสียชีวิตเพื่อเปิดทางให้เคจไปถึงโอเมก้า เขาใช้ระเบิดสังหารตนเองและโอเมก้าในเวลาเดียวกัน เลือดของโอเมก้าไหลเข้าสู่ร่างของเขา ทำให้เวลาถูกรีเซ็ตอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้กลับไปก่อนสงครามจะจบสิ้น เคจตื่นขึ้นมาในโลกที่มิมิกถูกทำลายหมดแล้ว ริต้ายังมีชีวิตอยู่ แม้จะจำเขาไม่ได้ แต่เขาก็ยิ้มออก เพราะรู้ว่าสงครามได้จบลงแล้วจริง ๆ

บทวิเคราะห์และความหมายเชิงลึก

หนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่หนังไซไฟแอ็กชัน แต่มันยังสะท้อนถึง “การเรียนรู้จากความผิดพลาด” และ “การเติบโตจากความล้มเหลว” ทุกครั้งที่เคจตาย เขาเรียนรู้บางอย่างเพิ่มขึ้น ซึ่งเปรียบได้กับชีวิตของมนุษย์ที่ต้องผ่านการพ่ายแพ้และเริ่มต้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อไปให้ถึงความสำเร็จ

ลูปเวลาจึงไม่ใช่คำสาป แต่เป็น “โอกาส” ที่จะเติบโตขึ้นในทุกครั้งที่พลาด นี่คือแนวคิดที่ทำให้ Edge of Tomorrow มีคุณค่ามากกว่าแค่หนังสงคราม และเป็นเหตุผลที่คนดูหลายคนรู้สึกเชื่อมโยงกับมันในระดับจิตใจ

เทคนิคการสร้างและงานภาพ

หนังใช้เทคนิค CG ขั้นสูงในการออกแบบมิมิก ซึ่งเคลื่อนไหวรวดเร็วเหมือนสิ่งมีชีวิตที่แทบจะควบคุมไม่ได้ งานภาพของ Dion Beebe และงานออกแบบฉากสนามรบที่เต็มไปด้วยโคลน ฝน และกลิ่นอายของสงครามยุคอนาคต ถ่ายทอดบรรยากาศได้อย่างยอดเยี่ยม การตัดต่อฉับไวช่วยให้การเล่าเรื่องมีพลังและไม่น่าเบื่อแม้จะมีการวนซ้ำเวลาอยู่ตลอด

ดนตรีประกอบโดย Christophe Beck ยังช่วยสร้างอารมณ์ระทึกได้อย่างลงตัว ทั้งในฉากฝึกซ้อม ฉากต่อสู้ และตอนจบที่อบอวลไปด้วยความรู้สึกทั้งเศร้าและโล่งใจ

สรุปรีวิว

Edge of Tomorrow เป็นภาพยนตร์ที่ผสมผสานความบันเทิงและความลึกซึ้งได้อย่างยอดเยี่ยม มีครบทั้งฉากแอ็กชันสุดมันส์ เนื้อหาที่ซับซ้อน และสารที่ทรงพลัง หนังเรื่องนี้คือหนึ่งในผลงานไซไฟสงครามที่ดีที่สุดในรอบทศวรรษ และเป็นตัวอย่างของหนังที่ “ยิ่งดูซ้ำก็ยิ่งดี” เหมือนคอนเซ็ปต์ของมันเอง

Tom Cruise และ Emily Blunt ถ่ายทอดบทบาทได้อย่างเข้มข้น เคมีของทั้งคู่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้ตราตรึงใจ และยังเป็นหนึ่งในผลงานที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ทั่วโลกในฐานะหนังไซไฟที่ “ฉลาด มันส์ และมีหัวใจ” อย่างแท้จริง

ตัวอย่างภาพยนตร์

 

Author: wanta

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *